การเปลี่ยนแปลงทางธรณีภาค
![](http://krusaneh.exteen.com/images/Pangaea2.gif)
ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาจนพบว่าโลกเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา
และพบหลักฐานเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ของทวีปและการขยายตัวของพื้นแผ่นมหาสมุทร
ทฤษฎีที่อธิบายปรากฏการณ์แผ่นธรณีภาคของโลกเคลื่อนที่ที่เชื่อถือได้ในปัจจุบัน คือ
ทฤษฎีธรณีแปรสัณฐาน (plate tectonics
theory)
ทฤษฎีธรณีแปรสัณฐาน
ทฤษฎีธรณีแปรสัณฐานใช้อธิบายกระบวนการภายในโลก ลักษณะต่าง ๆ ของเปลือกโลก
การเคลื่อนที่ของแผ่นธรณีภาค และยังเชื่อมโยงปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยา
ธรณีภาคประกอบด้วยส่วนที่เป็นเปลือกโลกและส่วนบนสุดของชั้นเนื้อโลก
เป็นชั้นวัสดุแข็งและเย็นตัวจึงแตกออกเป็นแผ่น เรียกว่า
แผ่นเปลือกโลกหรือแผ่นธรณีภาค (plate) แผ่นธรณีภาคมีขอบเขตจากบริเวณพื้นผิวของโลกลึกลงไปในโลกประมาณ 100
กิโลเมตร โดยจะวางตัวและเคลื่อนที่อยู่บนชั้นฐานธรณีภาคด้วยความเร็วและทิศทางที่แตกต่างกัน
แผ่นธรณีภาคอาจจะเคลื่อนที่ออกจากกัน เคลื่อนที่เข้าหากัน
หรือเคลื่อนที่ผ่านกันด้านข้าง ซึ่งทำให้เกิดปรากฏการณ์แผ่นดินไหว
หรือภูเขาไฟปะทุขึ้นที่บริเวณรอยต่อของแผ่นธรณีภาคอยู่เสมอ
การเคลื่อนที่ของแผ่นธรณีภาค
![](https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj7ejIdt03lsT4vrQFJCpV52GTUTcAoLRMN7VGhf625meGaklEFEMkOwtRCZ2ifgppNIM0zDr41mlxmPhGFAtZlznnLb6nWa-pbS68eVSi_uB7XEQ63-36-HhgeUupqHAY1mlMClaBeqiE/s1600/2.jpg)
หลักฐานและข้อมูลทางธรณีภาค
1. รอยต่อของแผ่นธรณีภาค
ธรณีภาคของโลกเกิดจากแผ่นเปลือกโลกหรือแผ่นธรณีภาคหลายแผ่นมาเชื่อมต่อกัน
ธรณีภาคแบ่งเป็น 7 แผ่น ได้แก่ แผ่นธรณีภาคแปซิฟิก แผ่นธรณีภาคอเมริกาเหนือ
แผ่นธรณีภาคอเมริกาใต้ แผ่นธรณีภาคยูเรเซีย แผ่นธรณีภาคแอฟริกา แผ่นธรณีภาคอินเดีย–ออสเตรเลีย และแผ่นธรณีภาคแอนตาร์กติก
เมื่อพิจารณาแผ่นทวีปจะพบว่า มีบางส่วนของขอบทวีปที่ต่อกันได้สนิท
ซึ่งเป็นการสนับสนุนแนวคิดที่ว่าทวีปทั้งสองอาจอยู่ติดกันมาก่อน
แล้วจึงแยกออกจากกันภายหลัง โดยมีมหาสมุทรแอตแลนติกกั้นเหมือนในปัจจุบัน
2. รอยแยกของแผ่นธรณีภาค และอายุหินบนเทือกเขากลางมหาสมุทร
![](https://www.popscicoll.org/dating-ocean-floor/mid_atlantic_rift-285.jpg)
จากการศึกษาและรวบรวมข้อมูลของพื้นแผ่นมหาสมุทรของนักธรณีวิทยา
พบว่าหินบะซอลต์จะมีอายุน้อยที่สุดบริเวณรอยแยกของเทือกเขากลางมหาสมุทร (mid-oceanic
ridge) ส่วนบริเวณรอบ ๆ
เทือกเขาจะพบหินที่มีอายุเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ
นอกจากนี้ยังพบพื้นแผ่นมหาสมุทรมีการทับถมสะสมกันมามีอายุไม่เกิน 200 ล้านปี
แต่หินบนพื้นทวีปมีอายุมากกว่า 3,000 ล้านปี
ซึ่งที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากรอยแยกมีหินหนืดที่มีส่วนผสมของหินบะซอลต์ในชั้นเนื้อโลกปะทุขึ้นมาขึ้นมาเป็นระยะ
ๆ เมื่อเย็นตัวลงพื้นแผ่นมหาสมุทรใหม่ จะดันพื้นแผ่นมหาสมุทรเก่าไปด้านข้าง
กระบวนการนี้เรียกว่า กายขยายตัวของพื้นแผ่นมหาสมุทร (ocean-floor
spreading) และนอกจากนี้หินหนืดที่ดันขึ้นมาตามรอยแยกระหว่างแผ่นธรณีภาคใต้มหาสมุทรดังกล่าว
ยังทำให้แผ่นดินของทวีปอเมริกากับทวีปยุโรปและทวีปแอฟริกาแยกห่างออกจากกันมากขึ้น
3. การค้นพบซากดึกดำบรรพ์
![](http://www.vcharkarn.com/userfiles/213156/1%20(33)(1).jpg)
4. หลักฐานอื่น ๆ
– หลักฐานจากหินที่เกิดจากตะกอนของธารน้ำแข็ง
ปัจจุบันพบหินชนิดนี้ในบริเวณชายทะเลทางตอนใต้ของแอฟริกาและอินเดีย
ทั้งที่ควรจะเกิดขึ้นบริเวณขั้วโลก จึงสันนิษฐานว่าทวีปมีการเคลื่อนที่หลังจากการสะสมตะกอนของธารน้ำแข็งแล้ว
– หลักฐานจากสนามแม่เหล็กโลก
โดยการศึกษาสมบัติของแม่เหล็กในหินดึกดำบรรพ์ หรือที่เรียกว่า ภาวะแม่เหล็กบรรพกาล
(paleomagnetism) ซึ่งเป็นภาวะของความเป็นแม่เหล็กอย่างอ่อนของหินที่มีสมบัติของการเป็นแม่เหล็กปนอยู่
โดยอนุภาคมีการเรียงตัวชี้ไปทางขั้วแม่เหล็กโลก
นักวิทยาศาสตร์ได้กำหนดตำแหน่งขั้วโลกของหินในทวีปยุโรปไว้ในแต่ละยุค
ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ทำให้ทราบว่าตำแหน่งของขั้วของแม่เหล็กโลกนั้นเคลื่อนย้ายตลอดเวลา
แนวคิดนี้เรียกว่า การหันเหขั้วโลก (polar wandering)
ลักษณะการเคลื่อนที่ของแผ่นธรณีภาค
1.
ขอบแผ่นธรณีภาคแยกออกจากกัน
การดันตัวขึ้นมาของหินหนืดหรือแมกมาจากชั้นฐานธรณีภาค
ทำให้เกิดการแยกออกจากกันของขอบแผ่นธรณีภาค โดยเกิดรอยแตกบนชั้นหินแข็ง
หินหนืดที่ดันตัวขึ้นมาจะถ่ายโอนพลังงานความร้อนสู่เปลือกโลก
ต่อมาเมื่ออุณหภูมิและความดันของหินหนืดลดลงจะทำให้เปลือกโลกส่วนบนทรุดกลายเป็นหุบเขาทรุด
(rift valley) ดังรูปที่ 1.6 หลังจากนั้น
บริเวณนี้จะมีน้ำไหลมาสะสมกันมากจนเกิดเป็นทะเล
2. ขอบแผ่นธรณีภาคเคลื่อนที่เข้าหากัน
1) แผ่นธรณีภาคใต้มหาสมุทร 2 แผ่นเคลื่อนที่ชนกัน
แผ่นธรณีภาคใต้มหาสมุทรที่มีอายุมากกว่าจะจมตัวลงใต้แผ่นธรณีภาคที่มีอายุน้อยกว่า
โดยจะจมลงไปในบริเวณที่มีหินหนืดหลอมละลายอยู่ เรียกบริเวณนี้ว่า
เขตมุดตัวของเปลือกโลก (subduction zone) หินหลอมละลายจะถูกยกตัวและปะทุขึ้นไปยังผิวโลก
เกิดการปะทุของภูเขาไฟบนพื้นแผ่นมหาสมุทรตลอดแนวร่องลึกก้นสมุทร
ต่อมาเทือกเขาของภูเขาไฟใต้ทะเลอาจจะยกตัวสูงขึ้นมาเหนือพื้นแผ่นมหาสมุทรกลายเป็นแนวเกาะที่มักจะเกิดในแนวโค้ง
เรียกว่า หมู่เกาะรูปโค้ง (island arc) เช่น ประเทศญี่ปุ่น อินโดนีเซีย
และหมู่เกาะอะลูเชียน (Aleutian islands)
2)
แผ่นธรณีภาคใต้มหาสมุทรเคลื่อนที่ชนกับแผ่นธรณีภาคทวีป
แผ่นธรณีภาคใต้มหาสมุทรจะมุดตัวลงใต้แผ่นธรณีภาคทวีปบริเวณร่องลึกก้นสมุทร
และดันให้แผ่นธรณีภาคส่วนที่เป็นทวีปโค้งตัวขึ้น รวมทั้งทำให้ภูเขาไฟเกิดการปะทุขึ้นได้
ทำให้เกิดการก่อรูปเป็นเทือกเขา เช่น เทือกเขาแอนดีสของทวีปอเมริกาใต้ (The Andes of South America)
3) แผ่นธรณีภาคทวีป 2 แผ่นเคลื่อนที่ชนกัน
ขอบทวีปจะโค้งตัวขึ้นก่อรูปเป็นเทือกเขา เช่น เทือกเขาหิมาลัยในทวีปเอเชีย
และเทือกเขา - แอลป์ในทวีปยุโรป
3. ขอบแผ่นธรณีภาคเคลื่อนที่ผ่านกัน
หินหนืดในชั้นเนื้อโลกมีอัตราการเคลื่อนที่ไม่เท่ากัน
จึงทำให้แผ่นธรณีภาคมีอัตราการเคลื่อนที่ไม่เท่ากัน
ส่งผลให้แผ่นธรณีภาคที่รองรับอยู่ใต้มหาสมุทร
และบางส่วนของเทือกเขากลางมหาสมุทรเลื่อนผ่านและเฉือนกัน เกิดเป็นระนาบรอยเลื่อน (fault
plane) ถ้าภูมิประเทศเป็นชั้นหินเราสามารถมองเห็นชั้นหินแยกออกจากกันอย่างชัดเจน
เป็นแนวยาวไปตามพื้นราบที่รอยเลื่อนแยกตัวออกจากกัน เช่น รอยเลื่อนซานแอนเดรียส
ประเทศสหรัฐอเมริกา รอยเลื่อนอัลไพน์ ประเทศนิวซีแลนด์
รอยเลื่อนลักษณะนี้มักจะเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงในระดับตื้น ๆ ระหว่างขอบของแผ่นธรณีภาคที่เกยกันอยู่
ผลจากการเคลื่อนที่ของแผ่นธรณีภาค
1. รอยคดโค้ง
![](http://web.gccaz.edu/~lnewman/gph111/topic_units/fold_fault_eq/14_34a.jpg)
1) ชั้นหินโค้งรูปประทุนคว่ำ (anticline) เป็นการคดโค้งของหินที่มีลักษณะโค้งเหมือนรูปประทุนเรือ
ชั้นหินที่อยู่บริเวณใจกลางของชั้นหินโค้งรูปประทุนคว่ำจะมีอายุมากที่สุด
2) ชั้นหินโค้งรูปประทุนหงาย (syncline) เป็นการคดโค้งของหินที่มีลักษณะโค้งตัวเหมือนนำประทุนเรือหรือระฆังมาวางหงาย
ชั้นหินที่อยู่บริเวณใจกลางของชั้นหินโค้งรูปประทุนหงายจะมีอายุน้อยที่สุด
2. รอยเลื่อน
บริเวณเปลือกโลกที่เป็นหินเก่า มีความอ่อนตัว เปราะและแตกง่าย
มักเกิดรอยเลื่อน (fault) ขึ้นเนื่องจากเปลือกโลกเกิดความเค้น (stress)
และความเครียด (strain) จนทำให้เกิดการเคลื่อนไหวของเปลือกโลก
ทำให้เกิดการดึงและการแยกออกจากกัน การเกิดรอยเลื่อนโดยทั่วไปมี 2 ทิศทาง ได้แก่
1) การเกิดรอยเลื่อนในแนวดิ่ง คือลักษณะการเกิดรอยเลื่อนในทิศทางแนวตั้ง มี
2 แบบ คือ
– รอยเลื่อนปกติ
(normal fault) เป็นรอยเลื่อนที่เกิดขึ้นในแนวดิ่ง
เกิดขึ้นจากแรงดึงออกจากกันของหินสองฟาก รอยเลื่อนแบบนี้จะทำให้เกิดหน้าผารอยเลื่อน
(fault scarp) ที่มีความสูงชัน
– รอยเลื่อนย้อน
(reverse fault) เป็นรอยเลื่อนที่เกิดขึ้นในแนวดิ่ง
แต่เกิดจากแรงดันเข้าหากันของหินสองฟากทำให้เกิดหน้าผาซึ่งมักเกิดการถล่มได้ง่าย
ลักษณะภูมิประเทศที่เกิดจากรอยเลื่อนปกติมี 2 แบบ ได้แก่
หุบเขาทรุดหรือกราเบน (graben) ซึ่งมีลักษณะเป็นแอ่งราบที่เกิดจากการทรุดตัวตามแนวรอยเลื่อน
และพื้นที่ยกตัวขึ้นตามแนวรอยเลื่อน
ซึ่งมีลักษณะเป็นภูเขาสูงที่ขนาบด้วยหน้าผารอยเลื่อนที่เรียกว่า ฮอสต์ (horst)
หรือภูเขาบล็อก
2) การเกิดรอยเลื่อนในแนวราบ เรียกอีกอย่างว่า รอยเลื่อนแนวระดับ (strike
fault) เกิดจากการเคลื่อนตัวไปทางด้านข้างขนานกับแนวระดับของชั้นหินที่เลื่อนไป
3. ภูเขา (mountain)
![](https://tripderntang.com/wp-content/uploads/2016/09/sigu000.jpg)
แรงอัด (compression) เป็นแรงที่อยู่ในทิศทางตรงกันข้ามและโน้มอัดให้วัตถุพับงอได้
ดังรูป 1.16
ภูเขา (Mountain) หมายถึง
ส่วนของผิวโลกที่ยกตัวขึ้นไปในอากาศ อยู่ในระดับสูงกว่าบริเวณรอบ ๆ
และมีความลาดเอียงที่สูงชัน กระบวนการเกิดภูเขาเกิดขึ้นได้หลายกระบวนการดังนี้
1. การเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก
ภูเขาบางแห่งเกิดจากการเคลื่อนที่ชนกันของแผ่นเปลือกโลก เช่น เทือกเขาหิมาลัย
ส่วนบางแห่งเกิดขึ้นจากการเคลื่อนที่แยกห่างจากกันของแผ่นเปลือกโลก เช่น
แนวสันเขากลางมหาสมุทรแอตแลนติก
2. การยกตัวขึ้นของพื้นทวีปซึ่งได้รับแรงดันจากหินหนืด มีหลายขั้นตอน
แต่ละขั้นตอนใช้เวลานานนับล้านปี เช่น
การเกิดเทือกเขาทางภาคเหนือและภาคใต้ของประเทศไทย
3. การดันของหินหนืดใต้ผิวโลกแล้วเย็นตัวลงก่อนที่จะไหลออกมาสู่ผิวโลก
ภูเขาที่เกิดขึ้นจะมียอดเขามนกลม เชิงเขาแผ่กว้าง เช่น ภูเขาหินแกรนิตทางทิศตะวันตกในภาคกลางของประเทศไทย
4. เปลือกโลกถูกแรงบีบอัดจนโค้งงอเป็นภูเขา เช่น
การเกิดเทือกเขาภูพานในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย
5. ความทนทานต่อการกร่อนไม่เท่ากันของเปลือกโลก
โดยเปลือกโลกส่วนที่ไม่แข็งจะถูกกัดกร่อนทำลายไป ส่วนที่แข็งยังคงสภาพอยู่ เช่น
การเกิดภูกระดึง จังหวัดเลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น